วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พาเที่ยวรัฐบอลติก ตอนที่ 4 เที่ยวกรุงทาลลินน์( Tallinn) ดินแดนเทพนิยายแห่งเอสโทเนีย (Estonia)

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน และแล้วก็มาถึงตอนสุดท้ายในชื่อชุด ตอนพาเที่ยวรัฐบอลติกกันนะค่ะ วันนี้ชะนีแคระจะพาทุกท่านไปเที่ยวประเทศน้องนุชสุดท้องในรัฐบอลติกกันค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนก่อนหน้านี้ก็เข้าไปตามอ่านกันนะค่ะ
พาเที่ยวรัฐบอลติก ตอนที่ 1 เที่ยวกรุงวิลนีอุส (Vilnius) ประเทศลิทัวเนีย(Lituania)
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2014/11/1-vilnius-lithuania.html
พาเที่ยวรัฐบอลติก ตอนที่ 2 เที่ยวกรุงทราไก (Trakai) เมืองแห่งร้อยทะเลสาป
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/01/2-trakai.html
พาเที่ยวรัฐบอลติก ตอนที่ 3 เที่ยวกรุงริก้า (Riga) ประเทศลัตเวีย (Latvia)
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/02/3-riga-latvia.html

วันนี้ชะนีแคระจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวกรุงทาลลินน์ เมืองหลวงของประเทศเอสโทเนียกัน  ถ้าพูดถึงประเทศเอสโทเนียนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตมาก่อน ภายหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวีย  เอสโทเนียก็ได้รับเอกราชและได้เป็นประเทศน้องใหม่พร้อมๆกับประเทศลิทัวเนีย ลัตเวีย  ซึ่งปัจจุบันนี้เอสโทเนียเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป( EU) ตอนนี้ชาวเอสโทเนียใช้สกุลเงินยูโร หากเพื่อนๆหรือท่านผู้อ่านสนใจอยากจะเดินทางมาท่องเที่ยวกันก็อย่าลืมขอวีซ่าเชงเก้นให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางค่ะ




 กรุงทาลลินน์ (Tallinn)  เป็นเมืองหลวงและเมืองท่าหลักของประเทศเอสโทเนียตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลบอลติกทางด้านเหนือของประเทศ  อยู่ไม่ห่างจากกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์เพียงแค่ 80 กิโลเมตรเอง ดังนั้นมักจะมีนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาเที่ยวกรุงเฮลซิงกิแล้วก็มักจะข้ามมาเยี่ยมเยียนกรุงทาลลินน์กัน  โดยเส้นทางที่นิยมมากก็จะนั่งข้ามเรือเฟอรี่มาเที่ยวที่กรุงทาลลินน์ ดังนั้นที่กรุงทาลลินน์นั้นจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ที่สำคัญกรุงทาลลินน์ได้รับการจัดลำดับจากองค์กรยูเนสโก (Unesco)ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วยเพราะด้วยความงามของบ้านเมืองเก่าแก่ และมี  สถาปัตยกรรมที่สวยงามราวกับเทพนิยายไม่ปานที่นี่จึงเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาท่องเที่ยวกันมากมาย สำหรับโปรแกรมการเที่ยวครั้งนี้เราจะอยู่กันที่กรุงทาลลินน์เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน หากท่านผู้อ่านพร้อมแล้วเตรียมเดินทางไปพร้อมชะนีแคระกันได้เลย


เช้าวันที่ 1 
ชะนีแคระเดินทางจากท่ารถบัสกรุงริก้า ประเทศลัตเวีย เดินทางโดยรถโค๊ชอย่างดี เริ่มออกเดินทาง 8 โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชม. ก็ถึงกรุงทาลลินน์แล้ว การเดินทางในเส้นทางนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมใช้บริการรถบัส รถโค๊ชนั่งข้ามประเทศกัน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางไม่แพง แถมสะดวกสบายไม่แพ้น้องๆสายการบิน low cost  สำหรับการเดินทางครั้งนี้ชะนีแคระใช้บริการของบริษัทนี้นะค่ะ Ecoline  https://www.ecolines.net/en/  หากเพื่อนๆสนใจก็ลองคลิกเข้าไปดูในเวปไซค์กันได้เลยค่ะ

ราวๆ เที่ยงกว่าๆเราเดินทางมาถึงศูนย์รถบัสเมืองทาลลินน์แล้วซึ่งจะอยู่ชานเมืองมาหน่อย เราก็เข้าไปติดต่อสอบถามศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวเกี่ยวกับการเดินทางเข้าเมืองและขอแผนที่ท่องเที่ยว สิ่งแรกที่จะต้องทำคือเดินทางไปโรงแรมเพื่อทำการเช็คอินท์เก็บกระเป๋ากันก่อน เราก็นั่งรถเมล์เข้าตัวเมือง ซึ่งการซื้อตั๋วนั่งรถเมล์เราสามารถซื้อได้กับคนขับรถเมล์โดยตรงได้เลย ก็ตกตั๋วคนละ 1.7 ยูโร เตรียมเศษเหรียญไปให้พร้อมเพราะพี่คนขับเค้าไม่มีเงินทอนให้นะค่ะ


แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวในเขตเมืองเก่าของเมืองทาลลินน์
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อย พวกเราก็พร้อมลุยออกสำรวจเมืองทาลลินน์กันเลยค่ะ จากแผนที่ท่องเที่ยวของเมืองทาลลินน์จะแบ่งเป็นสองส่วน คือในเขตเมืองเก่า (Old Town)  และก็เขตเมืองใหม่ แต่วันนี้ที่เรามาถึงเป็นวันอาทิตย์  นักท่องเที่ยวเยอะมากเราจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะออกเดินทางออกนอกเมืองไปหน่อย แล้วพรู่งนี้มีเวลาทั้งวันที่จะเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในเขตเมืองเก่ากัน   ว่าแล้วเราเดินทางเริ่มต้นที่ถนน Narva Mnt เพื่อจะไปหารถเมล์สาย  34A ,1A ,8หรือนั่งรถ Trุam 1, 3ไปเที่ยวพระราชวัง Kadriorg Palace และสวนสวยๆกัน  ค่ารถเมล์กับค่าตั๋วรถรางก็ราคาเดียวกันตกคนละ 1.7 ยูโร

  พระราชวัง Kadriorg Palace และสวน



 พระราชวัง Kadriorg ถูกสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชที่ 1 แห่งรัสเซียเพื่อสร้างเป็นที่ประทับของพระราชินีแคทเธอลีน พระราชวังถูกสร้างขึ้นเป็นสไตล์บาร็อกโดยสถาปนิคชาวอิตาลี  แต่ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงงานศิลปะทั้งภาพวาด งานปะติมากรรมต่างๆและผลงานทางศิลปะของประเทศ ซึ่งส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์นี้จะเปิดให้เข้าชม หากเป็นช่วงเดือนพฤษภาคม.- กันยายน จะเปิดตั้งแต่เวลา 10.00 -18 .00น.ยกเว้นวันพุธ จะปิดช้าหน่อย 10.00-20.00 น จะปิดบริการทุกวันจันทร์ ส่วนเดือนตุลาคม - เมษายน จะปิดทุกวันจันทร์และอังคาร  เปิดให้เข้าชมเวลา 10.00-17.00 น. ธรรมเนียมค่าเข้าก็ตกคนละ 5.5 ยูโร  หากท่านผู้อ่านสนใจก็อย่าลืมแวะเข้าไปเยี่ยมชมกัน หรือลองเข้าไปศึกษารายละเอียด วันเวลาตามเว็บไซค์ที่แปะให้นะ  http://kadriorumuuseum.ekm.ee/en/




บริเวณสวนรอบๆพระราชวัง

ความร่มรื่นของสวนรอบๆพระราชวัง
วันนี้อากาศดีจริงๆท้องฟ้าใสมาก ออกจากพระราชวังเราก็เดินกันต่อไปอีกเราก็จะมาถึงชายหาดก็จะเห็นอนุเสาวรีย์ Russalka Memorial ซึ่งเป็นอนุเสาวรีย์ที่สร้างขึ้นในช่วงคศ. 19 เพื่อเป็นอนุสรน์ให้กับการจมของเรือรบรัสเซียที่ชื่อว่า Russalka ขณะทำภาระกิจเดินทางไปประเทศฟินแลนด์ในปี 1893

อนุเสาวรีย์ Russalka Memorial

 วันนี้อากาศดีชาวเอสโทเนียมาเดินเล่นบ้างก็ลงมาเล่นน้ำบริเวณชายหาดกัน ที่เห็นไกลลิบๆ นั้นคือเมือง Pirita  เมืองพักตากอากาศของชาวเอสโทเนีย


บริเวณชายหาด


                                                             ชาวทาลลินน์มานั่งเล่น บ้างก็อาบแดดกัน


หลังจากเดินเล่นได้สักพักเราก็นั่งรถเมล์กลับเข้าเขตเมืองเก่ากัน เวลาตอนนี้เกือบบ่ายสี่โมงแล้ว หิวและเหนื่อยขอแวะหาน้ำและหาอะไรรองท้องเล็กน้อยกันก่อน เราก็มาเริ่มกันที่ประตูเมืองเก่าViru Gate

ประตูเมืองเก่า Viru Gate
ตรงบริเวณประตูเมืองเก่า Viru Gate สองฝั่งจะมีร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านขายดอกไม้ และมีร้านอาหาร ต่างๆมากมาย เราแวะพักหาของกินรองท้องง่ายๆกันหน่อยว่าแล้วเราเห็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสไตล์ แม็คโดนัล เราแวะเข้าไปหาเบอร์เกอร์ น้ำดื่ม และเข้าห้องน้ำกันก่อน


Hesbugger
หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย ชาวคณะพร้อมออกลุยกันต่อ เกือบจะห้าโมงเย็นฟ้ายังสว่างอยุ่เลย เราไปเที่ยวต่อ ที่ Kiek in de Kok& Bastion Tunnels อดีตเคยเป็นป้อมปราการหอคอยเก่า ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของป้อมปราการและหอคอยต่างๆ การทำสงคราม และการจัดแสดงชุดเกราะนักรบโบราณ การทรมานนักโทษ


หอคอย Kiek in de Kok& Bastion Tunnels


"
ปัจจุบันด้านในเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์

 แผนผังป้อมปราการและหอคอยรอบเมืองทาลลินน์ในสมัยอดีต

ชุดเกราะนักรบในอดีต
 จากด้านบนหอคอยนี้เค้าจัดให้เป็นค่าเฟ่ ซึ่งเราสามารถสั่งเครื่องดื่ม และพวกเบอเกอรี่ต่างๆทานได้  และที่สำคัญเราสามารถถ่ายรูปวิวมุมสูงของเมืองทาลลินน์จากบนยอดหอคอยได้ด้วย


วิวเมืองทาลลินน์ถ่ายจากยอดหอคอย



ภาพนี้เห็นยอดโบสถ์  ST. Alexander Nevsky Cathedral โบสถ์ที่มีชื่อเสียงและสัญลักษณ์ของกรุงทาลลินน์
สำหรับท่านผู้อ่านสนใจอยากเข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ Kiek in de Kok museum  ก็สามารถเข้าไปดูเวลาเปิดปิดหรือประวัติอย่างละเอียดได้ในเว็บไซด์ที่แปะไว้ให้ http://linnamuuseum.ee/kok/en/info-2/      เวลาทำการเปิดตั้งแต่วันอังคารถึงอาทิตย์เวลา 10.30 -18.00 น. ปิดทุกวันจันทร์และวันหยุดราชการ ส่วนธรรมเนียมค่าเข้าก็ตกคนละ 5 ยูโรค่ะ


เราก็เดินเล่นกันต่อไปเรื่อยๆ เพราะการเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนนี้  ทุ่มกว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่เลย เรามีเวลาท่องเที่ยวได้นานมากขึ้น จริงๆแล้วตามแผนเรากะว่าจะเที่ยวในเขตเมืองเก่าวันพรุ่งนี้ แต่ในเมื่อท้องฟ้ายังไม่มืด ชะนีแคระแอนเดอะแก็งค์ก็เที่ยวต่อค่ะ  เราเดินเล่นกันไปเรื่อยๆโดยจุดมุ่งหมายสุดท้ายของเย็นนี้เราจะไปเดินเล่นแถว Raekoja plats หรือTown Hall Square กันเพื่อจะไปหาอาหารเย็นทานที่จัตุรัสกลางเมืองนี้   จัตุรัสนี้เป็นที่ตั้งที่ว่าการเมืองเก่าของกรุงทาลลินน์ และก็เป็นจัตุรัสศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดของเมือง บริเวณจัตุรัสนี้จะเต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ ร้านขายของที่ระลึกมากมาย และคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ยิ่งดึกยิ่งคึกคักทีเดียว  ชะนีแคระไม่พลาดเก็บภาพบรรยากาศมาฝากเพื่อนๆกันนะค่ะ


บริเวณจัตุรัสเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว

Town Hall  ที่ว่าการอำเภอเก่า
เกือบสองทุ่มแล้วเรามาลองหาร้านอาหารเด็ดๆทานกันดีกว่า ชะนีแคระขอแนะนำร้านนี้ค่ะ  ชื่อว่า Olde Hansa เป็นร้านอาหารชื่อดังของกรุงทาลลินน์ ที่ดังก็เพราะว่าบรรยากาศและการตกแต่งร้าน  เมนูอาหาร และรวมถึงพนักงานเสิร์ฟอาหาร ทุกอย่างถูกจัดให้เป็นสไตล์ยุค Moyen age ยุคอัศวิน เจ้าหญิงประมาณนี้ให้เข้ากับบรรยากาศของเมือง นับว่าแปลกดีค่ะเราจะพลาดได้ไง มาถึงแล้วต้องลองค่ะ

สไตล์การตกแต่งร้าน



ได้อารมณ์ยุคอัศวินมาก 


เมนูของทางร้าน อ่านยากมาก

ตอนแรกจะสั่งโค็กมาดื่ม พนักงานเสิร์ฟบอกสมัยก่อนไม่มีเครื่องดื่มอัดลม ผิดคอนเซ็ปต์ของทางร้าน ชะนีแคระ เลยต้องสั่งเบียร์มาแทน

เริ่มอาหารจานแรกก่อน ชีสกับขนมปังหน้าตาดูโบราณมาก


อาหารจานหลักชะนีแคระลองสั่งปลาแซลมอน เสิร์ฟพร้อมกับลูกเดือย และผักดอง 

จานนี้ลองสั่งเมนูเป็นเนื้อวัว


บรรยากาศและการตกแต่งทางร้านดีมาก  พนักงานเสิร์ฟน่ารักพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก แถมใจดีอีกต่างหาก ส่วนอาหารก็อร่อยใช้ได้ทีเดียวเพื่อนๆสนใจก็ลองแวะมาใช้บริการดูนะค่ะ(ชะนีแคระไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด)  สำหรับค่ำคืนนี้ก็กลับโรงแรมนอนพักผ่อนเอาแรงพร้อมตะลุยต่อในวันพรุ่งนี้

วันที่ 2

วันนี้ชาวคณะตื่นสายกว่าปกติค่ะ สงสัยจะเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวันเพราะการเดินทางอย่างทรหดข้ามมาหลายประเทศ  และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายวันที่ 8 ของทริปเที่ยวรัฐเที่ยวบอลติกกันแล้ว กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็เกือบ 11 โมงกว่า แต่เรามีเวลาทั้งวัน กว่าจะไปขึ้นเครื่องกลับบ้านก็สามทุ่มครึ่ง วันนี้แผนเราค่อนข้างสบายๆเพราะเราเก็บในส่วนนอกเมืองไปแล้ว เวลาที่เหลือก็น่าจะเพียงพอสำหรับการเที่ยวชมในเขตเมืองเก่า  เริ่มต้นจากการเก็บภาพความงามของเหล่าหอคอยกำแพงเมืองเก่าที่ล้อมรอบเขตเมืองกัน นี่หละเป็นอีกเสน่ห์ความงามอย่างหนึ่งของเมืองทาลลินน์ได้บรรยากาศยุคอัศวินโต๊ะกลมกันเลยทีเดียว



ยอดหอคอยเรียงรายล้อมรอบเขตเมือง


 เหล่าหอคอยป้อมปราการที่เรียงรายตัดกับดอกไม้ใบหญ้าดูสวยงามสุดๆ  เดิมในอดีตเค้าว่ามีป้อมหอคอยถึง 66  อันล้อมรอบเขตเมืองเก่า แต่ด้วยกาลเวลาป้อมเหล่านี้บางส่วนก็พังทลายไป ทีเหลืออยู่ชาวเมืองและรัฐบาลค่อนข้างอนุรักษ์และเก็บรักษาสภาพไว้ได้อย่างดีเลย น่าชื่นชมชาวเอสโทเนียที่ยังรักและห่วงแหนโบราณสถานและโบราณวัตถุเหล่านี้เก็บไว้ให้ลูกหลาน รวมถึงคนต่างชาติอย่างเราได้มีโอกาสได้มาชื่มชมกัน




กำแพงเมืองเก่า

สำหรับสถานที่ต่อไปที่เราจะไปเที่ยวชมกันก็คือ Toompea Castle &Tall Herman's Tower  เดิมปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในคศ. 9  บนเนินเขา Toompea โดยชาวพื้นเมืองเอสโทเนีย   ในสมัยก่อนเมืองทาลลินน์เดิมชื่อ Reval โดยเริ่มแรกปราสาทสร้างขึ้นจากไม้ แล้วในปี คศ. 1219 ก็ถูกชาวเดนมาร์กเข้ามาทำสงครามรุกรานและครอบครองปราสาทแห่งนี้  ตัวปราสาทก็ได้สร้างต่อเติมขึ้นมาเรื่อยๆตามแต่ละยุคสมัย   ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นที่ทำการรัฐสภาของประเทศเอสโทเนีย ส่วนหอคอย  Tall Herman's Tower ถูกสร้างต่อเติมขึ้นในปีคศ. 1360-1370  เดิมสร้างไว้เป็นหอสังเกตการณ์ข้าศึก ปัจจุบันเป็นหอคอยที่ไว้เชิญธงประจำชาติเอสโทนียขึ้นสู่ยอดเสาธง  



อาคารตึกสีชมพูปัจจุบันคือรัฐสภาของประเทศเอสโทเนีย


                       
                                                               Tall  Herman's Tower


ใกล้กับตึกรัฐสภาของเอสโทเนียนั้นก็มีสัญลักษณ์สำคัญของกรุงทาลลินน์ว่านั้นคือโบสถ์ St. Alexander Nevsky Cathedral เป็นโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์  จำลองแบบมาจากโบสถ์ที่ประเทศรัสเซีย ถูกสร้างขึ้นในคศ. 1894-1900 ซึ่งในช่วงสมัยนั้นเอสโทเนียเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิต์รัสเซีย โบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรน์แห่งชัยชนะของกษัตริย์ Alexander  Navsky ที่สามารถเอาชัยชนะในการทำสงคราม Battle of Ice




โบสถ์ St.Alexander Navsky Cathedral

สียดายมีบางส่วนซ่อมปฏิสังขรณ์  และภายในโบสถ์ห้ามถ่ายรูปชะนีแคระเลยได้แต่ถ่ายรูปจากด้านนอกเท่านั้น  แต่วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะจริงๆ ตอนแรกคิดว่าวันจันทร์นักท่องเที่ยวจะน้อย แต่ที่ไหนได้คนมาจากไหนกันเยอะแยะโดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์เต็มไปหมด ตอนเข้าไปในโบสถ์ต้องเดินต่อคิวเข้าไปกัน  ก็ถือว่าได้อรรถรสไปอีกแบบ  ยังไงถ้ามากรุงทาลลินน์ห้ามพลาดเข้าชมโบสถ์ St. Alexander Navskyกันเดี่ยวเข้าว่ามาไม่ถึง



คลาคล่ำไปด้วยนักเท่องเที่ยวเต็มถนน



บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว

เราเดินเที่ยวกันต่อไปที่เนินเขา Toompea ใกล้กับโบสถ์ St. Alexander Navsky เราก็จะแวะไปชมอีกโบสถ์สำคัญของเมืองทาลลินน์กัน Cathedral of Saint Mary the Virgin เป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก  โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงทาลลินน์ สร้างขึ้นในคศ. 13 มีเรียกอีกชื่อว่า Dome Churh



ด้านนอกของโบสถ์



ภายในโบสถ์คนเยอะเลย



 เราก็เดินเล่นเก็บภาพถ่ายจากยอดเขา Toompea Hill กันนะ ได้รูปวิวสวยๆหลายรูปมาฝากท่านผู้อ่านกันด้วยนะค่ะ



ภาพวิวเมืองทาลลินน์มุมสูง






มุมนี้เห็นป้อมปราการไกลลิบๆ 


เดินไปเดินมาดูนาฬิกาอีกทีปาเข้าไปเกือบบ่ายโมงกว่า เริ่มหิวข้าวกันแล้วค่ะเอาเป็นว่าเราจะเดินลงไปหาอะไรกันทานที่จัตุรัสกลางเมือง Town Hall Square กันอีกครั้ง แต่ระหว่างทางเจอขนมนี้ ซื้อกินรองท้องกันก่อนดีกว่า  มันก็คือถั่วอัลมอนด์เคลือบน้ำตาล คล้ายถั่วกรอบแก้วบ้านเรานี่หละ แต่ที่แปลกก็คือรถเข็น ตลอดจนคนขายแต่งตัวให้เข้ากับยุคสมัยโบราณเพื่อเป็นจุดขายดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อกัน ก็ดูน่ารักมีสีสันไปอีกแบบ เราจะหาเจอรถเข็นแบบนี้ได้แทบทุกถนนย่านจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ยังไงก็อย่าลืมลองซื้อมาชิมกันนะค่ะ ชะนีแคระไม่พลาดซื้อกินทุกวันเลย ตกวันละสองสามรอบ ก็มันอร่อยดีค่ะ  มันมีหลายขนาดนะ ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ราคาก็ต่างกันไป ขนาดเล็กก็ 3 ยูโร (ไซค์อื่นจำราคาไม่ได้ เพราะซื้อทีไรก็ซื้อแต่ขนาดเล็กทุกครั้งค่ะ)



 รถเข็นขายถั่วเคลือบน้ำตาล







อันนี้ขนาดไซร์เล็ก 3 ยูโร

เราแวะมาหาอะไรกินที่ Town Hall Square กันอีกครั้งจากเมื่อวานเราแวะมาตอนเย็นแล้ว เดี่ยววันนี้เราจะลองมาเก็บบรรยากาศช่วงกลางวันมาให้ดูกัน ดูสิว่านักท่องเที่ยวจะคึกคักขนาดไหน 



กลางวันอย่างนี้นักท่องเที่ยวเยอะเลยค่ะ



Raekoja Plats ภาษาของชาวเอสโทเนีย หรือเรียกภาษาอังกฤษ Town Hall square


ตึก Town Hall ถ่ายรูปใกล้ๆมีหัวมังกรใส่มงกุฏด้วยเค้าเชื่อว่ามังกรจะปกป้องคุ้มครองเมือง


กังหันลมรูปทหารแก่ Toomas บนยอดเสาที่ว่าการอำเภอเก่า

มีเรื่องเล่าว่า Toomas เป็นทหารรักษาการณ์ที่ว่าการอำเภอ ลุง Toomas จะชอบแจกขนมให้กับเด็กๆในละแวกนั้นทุกๆวัน หลังจากที่ลุงเสียชีวิตไป เด็กๆก็คอยแต่เฝ้าถามถึงว่าลุงไปไหน ดังนั้นชาวบ้านจึงออกกุศุโลบาย นำกังหันรุปทหารคล้ายลุง Toomasไปติดบนยอดที่ว่าการอำเภอ และบอกเด็กๆว่าลุง  Toomasกำลังเฝ้ามองดูเด็กๆอยู่หากใครเป็นเด็กดี ก็จะนำลูกอมมาแจก นั้นจึงเป็นที่มาของกังหันลม Toomas นั่นเอง

อาหารกลางวันนี้เราจะพาเพื่อนไปลองหาอาหารอร่อยๆ ไปลองชิมอาหารพื้นเมืองของชาวทาลลินน์กันบ้าง ร้านที่จะแนะนำชื่อร้าน Vana Toomas restaurant  ร้านจะอยู่ตรงจัตุรัส Town hall square ตรงข้ามกับกับตัวที่ว่าการอำเภอเก่าเลย รสชาติใช้ได้เลยราคาไม่แพงมากค่ะ



อาหารจานนี้ลองหมูอบซอสครีม  เสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งกับผักกาดดอง จานนี้ราคา 18.95 ยูโร



ไส้กรอกกับมันบด จานนี้ราคา 14.95 ยูโร


เรานั่งพักทอดอารมณ์ จิบเบียร์เย็นๆมองดูผู้คน  ชื่นชมบรรยากาศยามบ่ายของย่านจัตุรัสเมืองเก่า ก็ดูสุขใจไปอีกแบบ วันสุดท้ายของทริปรู้สึกยังไม่อยากจะกลับบ้านเลย อยากจะเที่ยวต่ออีกอย่างว่าเวลาคนเรามีความสุขเวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว   เหลือเวลาอีก4 ชม.ก่อนที่จะต้องกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมเตรียมตัวไปสนามบิน   จริงๆแล้วเขตเมืองเก่า (Old town) ในเมืองทาลลินน์ไม่ใหญ่มากใช้เวลาครึ่งวันกว่าก็เก็บได้เกือบหมด เอาเป็นว่าเวลาที่เหลือนี้เราก็จะเดินเล่น เก็บภาพผู้คนตามถนนหนทาง ซื้อของฝากก็แล้วกัน เดี่ยวเราจะไปเดินเล่นที่ถนน PIKK ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายหลักของเมืองมีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย


ร้านอาหารเต็มสองฝั่งถนน

ย่านถนน Pikk


เราเดินไปตามถนนเรื่อยๆ ตามถนนตรอกซอกซอยต่างๆ  ซอยทีนี่เล็กและแคบพอคนเดิน และรถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานผ่านเท่านั้น



ตรอกซอยข้างๆรั้วกำแพงเมืองเก่า


เดินไปเดินมาเจอรูปวางไว้บนกำแพงเมืองไปหมด ไม่แน่ใจขายรูปหรือเปล่า



ST. Catherine 's passage

St. Catherine's passage เป็นทางเดินสายเล็กๆ ที่น่ารักของเมืองเก่าทาลลินน์  จุดเด่นก็คือตรงที่เป็นหลังคาเล็กๆด้านบนเชื่อมจากตัวโบสถ์ Catherine ยื่นไปถึงบ้านคน  ในตรอกเล็กๆแห่งนี้เวลาอากาศดีๆ ก็จะมีร้านค่าเฟ่มาตั้งโต๊ะเก้าอี้นอกร้านรับลูกค้า บางก็มีของหัตถกรรมพื้นบ้านมาวางขาย ถ้าใครสนใจก็อย่าลืมแวะมาเดินเล่นแถวนี้กันนะค่ะ


Viru  gate

เราก็เดินกันไปเรื่อยๆทะลุตามตรอกซอกซอยวนๆ หลงๆกันไปบ้างในที่สุดก็เดินมาถึงประตู Viru gate อีกแล้ว แต่บรรยากาศยามเย็นก็ดูคึกคักมาก คนเยอะจริงๆ

และแล้วเราก็เดินมาเรื่อยๆจนถึง Freedom square จัตุรัสแห่งนี้เป็นที่ตั้งของอนุเสาวรีย์แห่งอิสระภาพ  อนุเสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงชาวเอสโทเนียได้รุกขึ้นมาทำการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากสหภาพโซเวียต และภายหลังที่สภาพโซเวียตล่มสลาย ประเทศเอสโทเนียก็ได้รับเอกราช รัฐบาลและชาวเมืองต่างร่วมกันสร้างอนุเสาวรีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ถึงความเสียสละของเหล่าทหารและวีระชนผู้กล้าที่ร่วมต่อสู้ในครั้งนี้



Freedom square จัตุรัสเอกราช

และแล้วก็ได้เวลาต้องกลับบ้านแล้วตลอด 2 วันที่ได้อยู่ที่กรุงทาลลินน์ ชะนีแคระมีความประทับใจอะไรหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นบ้านเมืองที่น่ารักมีเสน่ห์ คล้ายๆตัวเองหลงมาอยู่ในเมืองโบราณยุคอัศวินขี้ม้า มีเจ้าหญิงเมืองแห่งเทพนิยาย  ทั้งผู้คนก็ล้วนแต่เป็นมิตรและก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก อาจจะเพราะเมืองทาลลินน์เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ขอบอกว่าทัวร์เกาหลี กับญี่ปุ่นมาเยอะมากจริงๆ ยิ่งหน้าร้อนซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของภูมิภาคนี้ด้วย เดินไปไหนก็เจอแต่นักท่องเที่ยว บางทีก็รู้สึกว่ามันเหมือนธุรกิจไปนิดหนึ่ง แต่รวมๆแล้วถือว่าประทับใจสุดๆเลยค่ะที่กรุงทาลลินน์  



ถ้าถามใจชะนีแคระว่าใน 3 ประเทศรัฐบอลติกประทับใจและชอบประเทศไหนมากกว่ากัน ขอบอกว่าเลือกไม่ถูกจริงๆค่ะ เพราะชอบและประทับใจทั้ง 3 ประเทศ ในความคิดชะนีแคระชอบความน่ารัก บ้านเมืองสวยๆพวกปราสาทหอคอย คงต้องยกให้เมืองทาลลินน์ แต่ถ้าชอบความมีสีสัน ปาร์ตี้สไตล์มหานครใหญ่ต้องยกให้กรุงริก้า แต่ถ้าใครชอบความสงบวิธีชีวิตผู้คนเรียบง่ายคงต้องไม่พลาดกับกรุงวิลนีอุส สรุปแล้วชอบหมดเลยค่ะ รักพี่เสียดายน้องจริงๆ  การมาเที่ยวที่รัฐบอลติกครั้งนี้ชะนีแคระได้เห็นบ้านเมือง ผู้คนที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ   การนำมาเล่าสู่กันฟังแบบนี้หวังว่าจะเป็นไอเดียในการท่องเที่ยวให้กับทุกท่านนะค่ะ  หากท่านผู้อ่านได้มีโอกาสมาเที่ยวยุโรป ชะนีแคระขอแนะนำให้ลองมาเที่ยวในแถบประเทศรัฐบอลติกนะค่ะ เพราะค่าใช้จ่ายไม่แพงเลยค่ะ แถมเที่ยวง่ายๆได้ด้วยตัวเองไม่ต้องง้อทัวร์ รับรองว่าไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด สุดท้ายนี้ก่อนจากกันไปขอขอบคุณสำหรับการติดตามกันนะค่ะ สำหรับตอนต่อไปนั้นชะนีแคระจะพาทุกท่านไปเที่ยวกรุงบรัสเซลส์ (Brussels) เมืองหลวงประเทศเบลเยี่ยมกันค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น