วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พาเที่ยวรัฐบอลติก ตอนที่ 3 เที่ยวกรุงริก้า (Riga) เมืองหลวงประเทศลัตเวีย (Latvia)

หลังจากที่ชะนีแคระพาไปเที่ยวประเทศลิทัวเนียกันมาแล้วตั้งสองตอนนะค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านก็สามารถตามไปอ่านกันได้ที่
พาเที่ยวรัฐบอลติกตอนที่ 1 เที่ยวกรุงวิลนีอุส (Vilnius) ประเทศลิทัวเนีย (Lithuania)
พาเที่ยวรัฐบอลติกตอนที่ 2 เที่ยวกรุงทราไก  (Trakai) เมืองแห่งร้อยทะเลสาป
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/01/2-trakai.html

วันนี้ฤกษ์งามยามดีชะนีแคระจะพาไปเที่ยวกรุงริก้า (Riga)  เมืองหลวงของประเทศลัตเวีย (Latvia)กัน ถ้าพูดถึงประเทศลัตเวียอาจจะฟังชื่อไม่ค่อยคุ้นหูชาวไทยนัก ลัตเวียเป็นประเทศใหม่ที่เพิ่งจะมีเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต   ตอนนี้ลัตเวียเป็นประเทศในกลุ่มของสหภาพยุโรป หากคนไทยที่สนใจจะเดินทางมาท่องเที่ยวก็ต้องขอวีซ่าเชงเก้นให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง  และลัตเวียใช้เงินสกุลยูโรค่ะ

 กรุงริก้าตั้งอยุ่ติดกับทะเลบอลติก ใกล้กับปากแม่น้ำเดากาวา (Daugava) ด้วยสาเหตุนี้ทำให้กรุงริก้ามีความเจริญมากที่สุดในบรรดาประเทศสามพี่น้องถือว่าเป็นพี่ใหญ่แห่งบอลติก  บ้างก็ว่าริก้าเป็นเมืองหลวงของบอลติก หรือปารีสของบอลติก  อีกทั้งกรุงริก้ายังได้รับการอนุรักษ์จากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย   ในแผนทริปเที่ยวรัฐบอลติกครั้งนี้ เราจะเที่ยวที่กรุงริก้า2 วัน 2 คืน เดียวเราลองมาดูสิว่าที่นี่ริก้ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง




การเดินทาง 

ชะนีแคระเดินทางจากกรุงวิลนีอุส เดินทางด้วยรถบัส ราวๆเกือบ 4 ชม. ได้ก็จะมาถึงกรุงริก้า การเดินทางด้วยรถบัสข้ามประเทศในย่านกลุ่มประเทศบอลติกนับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาก เพราะราคาไม่แพง สะดวกและก็ปลอดภัยแถมมีหลายบริษัทให้เลือกมากมาย บางเจ้าก็มีโปรโมชั่น แพ็กเกจถูก มีฟรีไวไฟ รับรองว่าการเดินทางสะดวกสบายพอๆกับสายการบิน low cost เลยทีเดียว สำหรับชะนีแคระเลือกเดินทางกับ Ecolines ซึ่งราคาตั๋วเดินทาง 17 ยูโรต่อคน มีฟรีไวไฟด้วย ถ้าใครสนใจยังไงก็ลองเช็คดูราคาในเว็บไซต์ ยิ่งถ้าจองตั๋วล่วงหน้าราคาตั๋วก็จะถูกชะนีแคระแปะลิ้งค์ไว้ให้แล้ว ก็ลองเลือกดูเอาตามอัธยาศัยนะค่ะ
Ecolines https://www.ecolines.net/en/
Luxespress http://www.luxexpress.eu/en
Eurolines http://www.eurolines.fr/en/




เช้าวันที่ 1

วันแรกเราออกเดินทางจากกรุงวิลนีอุส แต่เช้าตรู่เที่ยวแรกของวันเวลา 7.30 น.หลังจากที่พนักงานรถบัสเช็คพาสปอร์ตกับวีซ่า ชะนีแคระมีบัตรต่างด้าวของฝรั่งเศสก็ยื่นตัวนี้ให้กับพนักงาน เพราะเค้าจะต้องเช็คว่าผู้โดยสารมีวีซ่าหรือบัตรผู้อยู่อาศัยในยุโรปหรือไม่เพราะมันต้องขับรถข้ามพรมแดนดังนั้นต้องตรวจเข้มเพื่อไม่ให้มีปัญหากับตม.ประเทศลัตเวีย เราก็เดินทางมาถึงกรุงริก้าราวๆ 11.45 น. หลังจากถึงที่ศูนย์บขส. ริก้า เราก็ออกหาโรงแรมที่จองไว้ เราเลือกโรงแรมไม่ไกลจากศูนย์บขส. สักราว 10 นาทีก็ถึง หลังจากเช็คอินเรียบร้อย หาข้าวเที่ยงรองท้องง่ายๆก็ออกเที่ยวกันเลย โชคดีวันนี้ฟ้าใส แดดดีจริงๆ เราจะไปเที่ยวกันในเขตเมืองเก่าของกรุงริก้าก่อน สถานที่เที่ยวแห่งแรกของวันนี้





 โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter church) โบสถ์เซนต์ปีเตอร์นับว่ามีความสำคัญกับชาวกรุงริก้าเป็นอย่างมาก ถูกสร้างขึ้นในปีคศ. 1209 ตัวโบสถ์สร้างจากหิน  และเป็นโบสถ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วยนะ  ตัวโบสถ์นี้ได้ถูกไฟไหม้ ฟ้าผ่าและก็เสียหายหลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ถูกบรูณะปฏิสังขรณ์ไว้ให้มีรูปแบบเหมือนเดิม ซึ่งที่โบสถ์นี้เราสามารถขึ้นไปชมวิวบนยอดหอคอยของโบสถ์ เค้าบอกว่าจุดนี้นับเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเขตเมืองเก่า และวิวริมแม่น้ำเดากาวา (Daugava) ที่ดีจุดหนึ่งของเมือง แต่ถ้าใครอยากชมวิวสวยก็ต้องเสียค่าเข้าและค่าขึ้นลิฟต์ขึ้นไปดู ซึ่งตกคนละ 7 ยูโรแต่ชะนีแคระถือว่าคุ้มสุดๆ ยิ่งถ้าแดดดีๆแบบนี้รับรองว่าคุณต้องได้รูปสวยๆแน่นอนค่ะ

ภายในโบสถ์

วิวมุมสูงของเขตเมืองเก่า เราสามารถมองเห็นแม่น้ำ Daugava


แม่น้ำเดากาวา (Daugava) แม่น้ำสายหลักของเมืองที่ไหลลงออกสู่ทะเลบอลติก


ตึกสัญลักษณ์ของสหภาพโซเวียตที่ยังหลงเหลืออยุ่ในริก้าปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์


หลังจากลงมาจากยอดหอคอยเราก็เดินเล่นรอบๆโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ก็เจอเจ้าสิ่งนี้เลยค่ะ นักท่องเที่ยวมุงรอต่อคิวถ่ายรูปกันเต็มเลย



มันก็คือรูปปั้นสัตว์สี่สหาย (The musicien of Bremen) มันก็มีตำนานเล่ากันว่าถ้าใครได้ลองลูบจมูกเจ้าลาตัวล่างสุด แล้วลองอธิษฐานขอพรก็จะสมหวัง  ชะนีแคระไม่รอช้าทั้งลูบทั้งคลำประหนึ่งขอหวยก็ไม่ปาน ก็ลองดูกันนะค่ะว่าจะจริงไหม 






ตรงบริเวณใกล้กับเจ้ารูปปั้นสัตว์สี่สหายก็จะมีลานเล็กๆ มีร้านขายของที่ระลึกคอยให้บริการกับนักท่องเที่ยว  แถมตรงบริเวณด้านหน้าของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ก็จะมีจุดบริการจอดรถทัวร์รอบกรุงริก้ารับส่งนักท่องเที่ยวสำหรับใครที่ขึ้เกียจเดิน มีเวลาน้อยก็ใช้บริการรถทัวร์ก็สะดวกและประหยัดเวลาดีนะ

มีบริการรถทัวร์พาเที่ยวรอบกรุงริก้าด้วย
สถานที่ที่สองของวันนี้ไม่ไกลจากโบสถ์เซนต์ปีเตอร์เราจะไปเที่ยวที่  Ratslaukums square จัตุรัสแห่งนี้เป็นจัตุรัสที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในกรุงริก้า เป็นย่านเขตการปกครองและเขตเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยโบราณสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยยุคกลาง เดิมเป็นตลาดเปิดโล่ง เป็นที่ตั้งของที่ว่าการเมือง (The Town Hall)   บ้านนายหัวดำ (The House of Blackheads) และ Schwabe's House แต่ถูกทำลายในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และก็ได้รับการบรูณะใหม่ในปี 1970


ย่านจัตุรัส Ratslaukums ย่านสำคัญของกรุงริก้า


ที่เห็นตึกคู่สองตึกด้านหลัง ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงริก้า เค้าว่ากันว่าถ้าไม่ได้ถ่ายรูปเจ้าตึกคู่สองตึกนี้เหมือนมาไม่ถึงกรุงริก้ายังไงยังงั้น ตึกด้านซ้ายในรูปคือ Schwabe's House ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นศูนย์ให้ข้อมูลการท่องเที่ยว ใครอยากได้แผนที่ การแนะนำการท่องเที่ยว รวมถึงมาซื้อแสตมป์โปสการ์ดก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมเยียนทักทายเจ้าหน้าที่กัน เจ้าหน้าที่ใจดีที่สำคัญรูปหล่ออีกต่างหาก ส่วนตึกด้านขวามือในรูปคือ บ้านนายหัวดำ The House of Blackheads ถูกสร้างขึ้นในปี คศ. 1334 ใช้เป็นที่สโมสรพบปะสังสรรค์กันของเหล่าบรรดาพ่อค้าชายหนุ่มโสด และรวยมาก มีอิธิพลมากในสมัยนั้น ซึ่งบ้านนายหัวดำถูกทำลายเสียหายเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการบรูณะให้เหมือนเดิมทุกประการซึ่งแล้วเสร็จในปีคศ.1999 นี่เอง ปัจจุบันบ้านนายหัวดำถูกเปิดไว้ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญเท่านั้น



ที่มาของชื่อบ้านนายหัวดำ

ที่ว่าการเมือง (The Town Hall) จะอยุ่ตรงข้ามกับตึกคู่สัญลักษณ์กรุงริก้า
เราก็เดินเล่นลัดเลาะต่อกันไปเรื่อยๆในเขตย่านเมืองเก่า เราก็จะมาเจอบ้านสามพี่น้อง  (Three Brother) เป็นบ้านสามหลังที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงริก้า เป็นบ้านหมายเลข 17 19 และ 21 โดยบ้านทั้งสามหลังจะมีการเขียนจารึกปีที่ถูกสร้างขึ้นด้วย โดยหลังที่เก่าที่สุดถูกสร้างขึ้นในราวคศ.ที่ 15 ที่น่าสังเกตก็คือบ้านจะมีขนาดหน้าต่างเล็กมาก อ่านจากในหนังสือแนะนำท่องเที่ยวเค้าบอกว่าในสมัยก่อนเค้าจะเก็บภาษีจากขนาดของหน้าต่าง ดังนั้นต้องสร้างหน้าต่างให้เล็กที่สุดจะได้จ่ายน้อยสุดว่างั้น  โชคดีที่บ้านทั้งสามรอดจากการถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เหลือมาเป็นมรดกให้กับชาวริก้าจนถึงทุกวันนี้


Three Brother

ใกล้ๆกับบ้านสามพี่น้อง เห็นยอดแหลมนั้นคือมหาวิหารเซนต์จาคอบ (St. Jacobs Cathedral) เป็นโบสถ์สไตล์โกธิค ถูกสร้างในปีคศ.1225 แต่แล้วเสร็จในคศ. 1330 สร้างนานนับเป็นร้อยปีกว่าจะแล้วเสร็จ

โบสถ์เซนต์จาคอบ


ภายในโบสถ์ตกแต่งเรียบง่าย

เราเดินต่อไปเรื่อยๆซอกแซกไปตามซอยก็ผ่านประตูเมือง Swedish Gate วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะเลยค่ะ



 ประตูเมือง  Swedish Gate




  พอเดินไปได้หน่อยก็เจอกำแพงเมืองเก่า มีการจัดแสดงปืนโบราณด้วย




ป้อมดินปืน (The Power Tower)  ซึ่งเดิมทีเรียกว่า Sand Tower  มีการระบุในเอกสารบันทึกของลัตเวียตั้งแต่คศ. 13 แต่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตั้งแต่ปีคศ. 17 ป้อมนี้ถูกเอาไว้เป็นที่เก็บดินปืน และก็มีการถูกทำลายและบรูณะซ่อมแซมหลายครั้ง จนถึงปีคศ. 1999 ถึงปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับสงครามของลัตเวีย


ป้อมดินปืน



ย่านจัตุรัส Livu square เป็นจัตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับสองของริก้า ปัจจุบันเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ค่าเฟ่ คลับบาร์ จะว่าเรียกว่าเป็นแหล่งบันเทิงหรือแหล่งพบปะสังสรรค์ของชาวริก้าก็ได้ ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน อากาศดีๆอย่างนี้ผู้คนขวักไขว่ทีเดียว


Livu square

มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย



ระหว่างเดินๆอยู่ก็เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนยืนมุงถ่ายรูปตึกทรงแปลกๆนี้อยู่ ชะนีแคระคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆทำไมคนถึงรุมถ่ายรูปกันใหญ่ ว่าแววก็รีบหยิบคู่มือมาอ่านทันที บ้านแมว (The Cat house) บ้านนี้มีตำนานเล่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมีพ่อค้าคหบดีคนหนึ่งที่สร้างตัวจนร่ำรวยก็มีความปรารถนาอยากที่จะเข้าสมาคมชาวผู้ดี ไฮโซ (The Great  Guild) แต่เนื่องจากพ่อค้าคหบดีท่านนี้ไม่ได้มีเชื้อสายผู้ดีหรือตระกูลเก่าแก่ ก็เลยโดนทางสมาคมปฏิเสธ  โดยทางสมาคมก็อ้างว่าถ้าหากพ่อค้าได้สร้างบ้านหลังใหญ่ในเขตเมืองเก่าก็ได้ก็จะให้เข้าสมาคม สุดท้ายพ่อค้าก็สามารถสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงริก้า อยู่ติดกับตึกของทางสมาคมได้สำเร็จ แต่ก็ยังถูกทางสมาคมปฏิเสธอีก ดังนั้นพ่อค้าก็เลยเจ็บแค้นและโกรธมากเลยสั่งให้ปั้นรูปแมวสีดำสองตัวอยู่บนหลังคาหันก้นทำท่าอึใส่ไปทางสมาคมที่อยู่ติดกัน ทางสมาคมผู้ดีก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกันก็เลยฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมให้พ่อค้าหันก้นแมวไปทางอื่น แต่สุดท้ายทางศาลก็ไกล่เกลี่ยจนในที่สุดพ่อค้าก็ยอมหันก้นแมวไปทางอื่นโดยหันกลับก้นมาอึใส่บ้านตัวเอง และทางสมาคมก็ยอมให้พ่อค้าเข้ามาเป็นสมาชิกในสมาคมชาวเซเลปด้วย สรุปวินวินกันทั้งสองฝ่ายค่ะ


บ้านแมว


แมวโก่งตูดกำลังอึ

ตึกของสมาคมผู้ดีเก่า 
 จะหกโมงแล้ว พระอาทิตย์ยังไม่ตกเลยแถมแดดดีอีกต่างหา เราก็เลยถือโอกาสลุยเดินเที่ยวต่อไปเรื่อยๆด้วยความอึดทรหด ก็เจอเจ้านี้เลย หอนาฬิกา Laima มันคือจุดนัดพบของชาวเมืองริก้าและเป็นสัญลักษณ์ของช็อกโกแลต Laima ยี่ห้อดังของริก้า  ซึ่งเดียวเราก็จะแวะซื้อเป็นของฝากกันวันพรุ่งนี้




และที่เห็นอยู่ด้านหลังนาฬิกา Laima นั่นก็คืออนุเสาวรีย์แห่งอิสระภาพ (The Freedom Monument) อนุเสาวรีย์อิสระภาพแห่งนี้ถือเป็นแลนมากค์สำคัญและมีส่วนจารึกในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของชาวลัตเวีย นั่นก็คือบริเวณลานรอบๆอนุเสาวรีย์แห่งนี้เป็นที่ๆประชาชนชาวลัตเวียมาชุมนุมเรียกร้องเอกราชต่อต้านสหภาพโซเวียตและเป็นที่ร่วมฉลองชัยหลังได้รับเอกราชภายหลังจากการล่มสลายของโซเวียต หลังจากได้เอกราชแล้วทางรัฐบาลและชาวเมืองก็พร้อมใจกันสร้างอนุเสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำ


เทพีถือดาวสามดวง แสดงถึงอิสระภาพ และจิตวิญญาณของชาวลัตเวีย



ทหารคอยรักษาการณ์รอบอนุเสาวรีย์
วันนี้ชะนีแคระแอนด์เดอะแกงค์โชคดีมากค่ะ ที่ลานรอบอนุเสาวรีย์วันนี้มีแสดงฟรีคอนเสิร์ตวงดุริยางค์อะไรสักอย่างค่ะ เราเลยได้โอกาสเก็บภาพสวยๆมาฝากท่านผู้ชมด้วยนะค่ะ










ที่ข้างๆลานอนุเสาวรีย์อิสระภาพก็จะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งถือว่าเป็นปอดสีเขียวของชาวกรุงริก้า เดี่ยวเราจะลองเข้าไปเดินเล่นกับนั่งพักผ่อนกัน เพราะตอนนี้ชะนีแคระเมื่อยขามากเพราะเดินมาตั้งแต่บ่ายยังไม่ได้หยุดพัก อารมณ์ตอนนี้ อยากขอนั่งพักแล้วดื่มอะไรเย็นๆชมวิวยามเย็นสบายๆ




ภายในสวนสาธารณะนี้ร่มรื่นมากทีเดียว มีหนุ่มสาว คุ่รัก และครอบครัวชาวริก้าแวะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันเต็มไปหมด บ้างก็พายเรือเล่น นั่งทานอาหารกัน ชะนีแคระมองแล้วเพลินตาเพลินใจอย่างมากเลยค่ะ


มีบริการนั่งเรือชมคลองภายในสวนสาธารณะด้วย

พายเรือกันเป็นคู่

เดี่ยวนี้ฮิตไปทุกๆทีต้องมาคล้องกุญแจคู่กัน

หลังจากนั่งพักไปได้ชั่วโมงกว่า นี่ก็ใกล้เวลาทุ่มกว่าเกือบสองทุ่มแล้ว ฟ้ายังไม่มีวี่แววว่าจะมืดเลย การมาเที่ยวในแถบรัฐบอลติกยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้ กว่าพระอาทิตย์จะตกฟ้าจะมืดก็ปาเกือบไปสามสี่ทุ่ม ข้อดีคือทำให้เรามีเวลาเที่ยวได้เกือบทั่ว  ตอนนี้หิวแล้วเดี่ยวเราลองเดินไปหาอาหารชาวลัตเวียทานกันดีกว่า  ระหว่างเดินย้อนกลับเข้าไปในเขตเมืองเก่า ชะนีแคระเดินผ่านนี้เลยค่ะ โรงโอเปร่า



โรงโอเปร่า


อ่านจากคู่มือท่องเที่ยวเค้าแนะนำให้มาลองทานอาหารสไตล์ลัตเวียแท้ๆซึ่งมีอยู่หลายร้าน แต่ชาวคณะเลือกร้านที่ชื่อร้านว่า   Province  ซึ่งอยู่ใกล้กับจัตุรัส Ratslaukums เพราะดูแล้วคนแน่นร้านทีเดียวค่ะ  คิดเอาว่าน่าจะอร่อย เค้าว่าถ้าอาหารพื้นเมืองแถบบอลติกนี้ควรลองสั่งพวกขาหมู หรืออาหารเมนูหมูอบอะไรพวกนี้ค่ะ  จริงแล้วอยากลองสั่งขาหมูมาชิมนะค่ะแต่เห็นจากโต๊ะข้างๆแล้วคงไม่หมดแน่ ชะนีแคระเลยสั่งหมูอบกะมันบดมาลอง หลังจากลองชิมแววขอบอกอร่อยและราคาไม่แพงมากค่ะ ถ้าหากท่านผู้อ่านมีโอกาสได้มาเที่ยวที่ริก้า แล้วก็อย่าลืมลองแวะมาทานกันนะค่ะ


เนื้อกะมันอบ

หมูอบกะมันบด
คืนนี้ที่ริก้าเต็มไปด้วยแสงสีของร้านอาหาร  คลับ และบาร์สองข้างทางถนน เหมือนมหานครใหญ่ๆในยุโรป ยิ่งดึกยิ่งคึกคักไปด้วยหนุ่มสาว และนักท่องเที่ยว  ส่งท้ายของคืนนี้ด้วยรูปนี้ค่ะ





เช้าวันที่ 2

หลังจากตื่นเช้ามาแล้ว เช้านี้อากาศค่อนข้างขมุกขมัว ท้องฟ้าครึ้มๆเหมือนฝนจะตกยังไงยังงั้น แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการท่องเที่ยว หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมจนอิ่ม พวกเราก็เตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวในกรุงริก้าต่อ  วันนี้ตั้งใจจะเก็บสถานที่ที่ยังไม่ได้ไป เพราะเรามีเวลาเหลือแค่วันนี้เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางต่อแต่เช้ามืด ยังไงวันนี้ต้องพยายามเก็บเกี่ยวสถานที่ๆต่างๆให้ได้มากที่สุด สถานที่แรกของเช้าวันนี้เราจะมาเที่ยวกัน ตลาดกลาง (The Central Market)  ที่ตลาดแห่งนี้นับเป็นตลาดกลางที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในยุโรป  มีขายข้าวของมากมายทั้งอาหาร เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ดอกไม้ เสื้อผ้าและเครื่องใช้ต่างๆ สรุปว่ามีขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบที่นี่ ถ้าสนใจก็ลองแวะเค้ามาหาซื้อ ต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้ากันได้เลยค่ะ 

อาคารด้านนอกรูปแบบคล้ายหัวลำโพงบ้านเราเลย

แตงโมลูกใหญ่มากๆ



ขณะเดินเล่นอยู่ที่ตลาดฝนเจ้ากรรมก็ตกเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาทำให้ทีมงานชาวคณะต้องวิ่งไปซื้อร่มกับร้านค้าในตลาด พอหลังจากซื้อเสร็จเดินออกจากร้านไม่เท่าไหร่ ฝนหยุดตกซะงั้น สรุปเสียตังค่าร่มคนละ 3 ยูโร ถือว่าดีกว่าตกหนักๆแล้วเที่ยวต่อกันไม่ได้  สถานที่ต่อไปของวันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยวดูศิลปะสไตล์  Art nouveau หรือเรียกเป็นไทยก็เรียก นวศิลป์ ก็คือเป็นลักษณะศิลปะ สถาปัตยกรรม เป็นศิลปะประยุกต์ ออกแนวใหม่ที่มีการออกแบบร่วมสมัยและสอดคล้องเน้นรุปแบบธรรมชาติ ลวดลายอ่อนช้อย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงคศ.18 -19 โดยเฉพาะที่ริก้าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากในด้านการออกแบบและการอนุรักษ์ศิลปะสไตล์ Art nouveau  ตามตึกอาคารที่พักอาศัยแทบทั้งเมืองจนได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ด้วย เดี่ยวเราจะลองมาดูกันว่าศิลปะไสตล์นวศิลป์มันมีหน้าตาเป็นไง เราก็จะไปที่ถนน Alberta และ Elizabetes iela ทั้งสองถนนเราจะได้เห็นศิลปะ เจ้าอาร์ต นูโวตามตึกต่างๆ  ซึ่งในย่านนี้เป็นย่านไฮโซ ย่านคนมีเงินแถมเป็นย่านที่ตั้งของสถานทูตต่างๆอีกด้วย 


ตึกนี้นักท่องเที่ยวทุกคนต้องหยุดถ่ายรูป






ตรงประตูมีรูปหัวคนด้วย



บนบานประตูมีทำเป็นรูปมังกร




 แปลกตาไปอีกแบบนะค่ะ  ที่ริก้าอาคาร บ้านช่องนี้มีตึกสวยๆเต็มไปหมดเลยค่ะ สมกับที่เป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ  เราแวะผ่านโบสถ์ Nativity of Christ Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์สไตล์ออร์โธด๊อกซ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงริก้า  ชะนีแคระแวะเข้าไปชมภายในและทำบุญด้วยค่ะ ปกติแล้วเวลาไปเที่ยวต่างประเทศจะถือเคล็ดว่าเข้าไปทำบุญตามโบสถ์หรือวัดต่างๆ เอาฤกษ์เอาชัยและขอพรว่าขอให้ได้กลับมาเที่ยวอีก อิอิ แต่เค้าห้ามถ่ายรูปภายในโบสถ์นะค่ะ ทำได้แค่ถ่ายด้านนอกค่ะ 



Nativity of Christ Cathedral
เราเดินกลับย้อนเข้ามาในเขตเมืองเก่าของริก้ากันอีกครั้ง หลังจากหาอาหารกลางวันกินง่ายๆ เราก็พร้อมลุยเที่ยวต่อเลยค่ะ  เราไปเดินเล่นย่าน Dome Square ย่านหัวใจสำคัญของกรุงริก้า ถือว่าเป็นจัตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของกรุงริก้า  ย่านนี้มี้ร้านอาหาร ค่าเฟ่มากมายให้เลือก  และใกล้ๆเราสามารถเข้าไปชมมหาวิหาร Dome Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1211 โดยบาทหลวง บิชอป Albert และโบสถ์นี้ก็ได้ถูกซ่อมแซมบรุณะอีกหลายครั้ง สไตล์ของมหาวิหารจะผสมกันระหว่างโกธิคกับบารอค เราสามารถขึ้นไปดูชมวิวมุมสูงบนยอดโดมได้ด้วย แต่ต้องเสียค่าเข้า ชะนีแคระก็ไม่ได้เข้าไป เพราะเมื่อวานเราได้เก็บรูปวิวมูมสูงของเมืองมาแล้วก็ได้แต่ถ่ายรูปด้านนอกมาให้ชมกันค่ะ


Dome Cathedral




ย่าน Dome square เต็มไปด้วยร้านอาหาร ค่าเฟ่


เราเดินเล่นกันต่อไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ฟ้ากลับมาใส แดดออกอีกครั้ง


ร้านอาหารเต็มถนนสองข้างทาง

คุณลุงแต่งกายชุดโบราณเพื่อเรียกแขกนักท่องเที่ยวให้เข้าร้านอาหาร
 เดียวเราลองไปเดินเล่นใกล้ริมแม่น้ำเดากาวากันบ้าง


สะพานข้ามแม่น้ำเดากาวา





ตึกอะไรมีรูปทรงแปลกๆ



และสถานที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้เราจะไปเที่ยว Museum of Occupation มันคือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงถึงช่วงสงครามและความเจ็บปวดภายใต้การปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ก่อนที่ลัตเวียจะได้รับเอกราช ซึ่งไม่ต้องเสียค่าเข้า สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่จะมีตู้รับบริจาคอยู่ด้านหน้าค่ะ ถ้าใครสนใจก็แวะเข้าชมนะค่ะ ภายในมีจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของลัตเวียภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต ข้าวของเครื่องใช้ของต่างๆของผู้ถูกคุมขังสมัยเป็นนักโทษในช่วงคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจ รับรองว่าน่าสนใจทีเดียวค่ะ



Museum of Occupation

และบริเวณลานด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์นั้นก็จะมีอนุเสาวรีย์ Latvian Rifleman Monument มันถูกสร้างขึ้นสมัยสหภาพโซเวียตเรืองอำนาจ เค้าว่าเป็นมันเป็นตัวแทนของบอดี้การ์ดของเลนิน


Latvian Rifleman Monument

วันนี้ค่อนข้างเที่ยวได้ครบเก็บได้หลายอย่างๆที่น่าสนใจในเขตเมืองเก่า และเมืองใหม่ในกรุงริก้าได้ครบก็เกือบเย็นแล้ว วันนี้เราขอสั่งลาทานอาหารของชาวลัตเวียเป็นคืนสุดท้าย ที่หลายๆร้านอาหารในกรุงริก้าจะมีแสดงวงดนตรีสดเกือบแทบทุกร้านเพื่อนเรียกแขก และนักท่องเที่ยวให้เข้าร้าน นับว่ายิ่งเย็น ยิ่งคึกคัก บรรยากาศสนุกสนาน ชะนีแคระเลือกเข้าร้านหนึ่งเพราะว่าอยากนั่งฟังเพลงชิวๆจิบเบียร์เย็นๆ




ร้านนี้คนแน่นเลย

วงดนตรีสด นักร้องเสียงดีมาก
และเราก็มาถึงเมนูยอดฮิตของริก้ามาแล้วห้ามพลาดเด็ดขาดลองสั่งมาทานกันนะค่ะ ก็คือเมนูอาหารว่าง คล้ายกับขนมปังทอดกระเทียมค่ะ จิ้มกับน้ำจิ้มคล้ายมายองเนสผสมมัสตาร์ด แต่รสชาติอร่อยดี ชะนีแคระเห็นเกือบทุกโต๊ะต้องสั่งมาทาน แล้วเราจะพลาดได้ไงสรุปสุดท้ายอร่อยๆจริงๆค่ะ เพราะถึงกับต้องสั่งมา 2 รอบ แย่งกันแทบไม่ทัน
ขนมปังทอดกระเทียม
 ส่วนอาหารจานหลักเค้าว่ามาเที่ยวแถบทะเลบอลติกขอลองทานอาหารทะเลดูสิ ว่ามันจะสดไหม เมนูนี้เลือกทานหอยแมลงภู่อบซอสมัสตาร์ดค่ะ  ปกติเค้าจะอบกับครีม ชะนีแคระไม่เคยลองทานหอยแมลงภู่อบกับมัสตาร์ดเลย ลองดูคะ  สรุปก็ไม่เลวนะค่ะ ทานคู่กับขนมปังทาเนยก็แปลกไปอีกค่ะ 


หอยแมลงภู่อบซอสมัสตาร์ด
หลังจากทานอาหารเย็นกันอิ่ม เราก็เตรียมตัวกลับที่พักกันเพื่อเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเดินทางต่อไปในวันพรุ่งนี้  สำหรับประสบการณ์ที่ได้มาเที่ยวในกรุงริก้า 2 วัน 2 คืน นี้ชะนีแคระมีความประทับใจในบ้านเมืองของเค้าไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง ที่มีมีความสวยงามไปด้วยสถาปัตยกรรมแนวใหม่ หรือชีวิตชาวเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน เหมือนเมืองใหญ่ๆในยุโรป ริก้าเป็นเมืองที่มีความเจริญมากในรัฐบอลติก ถ้าเทียบกับวิลนีอุสแล้วอารมณ์แทบจะแตกต่างกัน วิลนีอุสจะดูเงียบสงบกว่ามาก  ชาวเมืองริก้าดูเป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษได้ดี และยิ่งในสมัยนี้การท่องเที่ยวในประเทศบอลติกไม่ได้ยุ่งยากมาก ค่าใช้จ่ายไม่แพง และมีความปลอดภัยสูง ริก้าก็เป็นทางเลือกหนึ่งของการท่องเที่ยวในยุโรปตะวันออก หากท่านผู้อ่านสนใจก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่ริก้ากันนะค่ะ ที่นี่มีบ้านเมืองที่สวยงาม และมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ หวังว่าบทความนี้คงเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆพี่ๆได้ออกท่องโลกกว้างกันค่ะ ขอขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม ตอนหน้านั้นชะนีแคระจะพาไปเที่ยวประเทศน้องนุชสุดท้องในรัฐบอลติกกันนะคะ เราจะไปเที่ยวเมืองทาลลินน์ (Tallin) ดินแดนแห่งเทพนิยาย ประเทศเอสโทเนีย( Estonia) กันค่ะ
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/05/4-tallinn-estonia.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น